วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2530 เป็นวันแรกของการเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ บ้านหลังแรกในชีวิตของผม บ้านที่เป็นทั้งศูนย์รวมความอบอุ่น และที่พักพิงใจของผู้ที่มีความทุกข์ บ้านหลังนี้ได้รับนามจากองค์พ่อปู่พระพิฆเนศวรว่า บ้านตรีสุวัชช์ ซึ่งตั้งอยู่หลังที่สี่ด้านขวามือ ในซอยทวีมิตร 8 ถนนพระราม 9 อโศก-ดินแดง ห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ทุกคนจะเดินทางไปกันง่าย เพียงแต่เดินทางไปในซอยที่จะมุ่งตรงไปยัง สถานีวิทยุโทรทัศน์กระจายเสียง โมเดิรน์นายส์ทีวี หรือสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท.นั้นเอง
เป็นเวลายาวนานถึง18 ปีเต็ม มาจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2549 ผมได้ใช้ชีวิต และทำงานเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และทำนายดวงชะตาให้กับผู้คนมากมาย ณ.บ้านหลังนี้ นอกจากนั้น บ้านหลังนี้ก็เป็นพักพิงของบรรดาลูกศิษย์จากมหาวิทยาลัย ที่ผมได้สอนหนังสือพวกเขามาร่วมสิบกว่าปีเต็มที่ผ่านมาอีกด้วย หลายคนเคยมานั่งปรึกษาเพื่อขอแนวทางในการดำเนินชีวิตที่สดใสของตัวเองกับผม ณ บ้านหลังนี้
ต้นไม้ทุกต้น ใบไม้ทุกใบและดอกไม้หลากสีที่บานสะพรั่งในบ้านตรีสุวัชช์หลังนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยมือและด้วยหัวใจของผมได้ที่ปลูก ได้เฝ้าดูแลพรวนดิน รักษามันด้วยความรักอย่างเต็มหัวใจ ความร่มเย็นของบ้านหลังนี้ จะบังเกิดเป็นมหัศจรรย์กับผู้มาเยือนทุกคน ทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า เมื่อมานั่ง ณ.มุมหนึ่งมุมใดก็ตามของบ้านหลังนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสายลม และความร่มเย็นเกิดขึ้นมากๆ อย่างที่พวกเขาสัมผัสได้ ทั้งเป็นบ้านที่ตั้งอยู่กลางเมือง กลางสิ่งแวดล้อมที่กำลังแออัดมากขึ้น ตามสภาวะความเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
สายน้ำตกหน้าบ้าน....เสียงนกร้องสลับเสียงของใบไม้ที่พัดแกว่งไกวตามแรงลม ทำให้เกิดความสุข ความสงบ เป็นบรรยากาศที่หาได้ยากสำหรับชีวิตในเมืองหลวง และสำหรับผู้ที่อยู่บ้านกลางใจเมืองอย่างนี้ แต่สำหรับบ้านตรีสุวัชช์ บ้านแห่งมหาเทพหลังนี้ มีและบังเกิดขึ้นตลอดเวลา ที่ผมพำนักอยู่ร่วมสิบแปดปีเต็มที่ผ่านมา
การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่สำหรับผม ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจะเกิดขึ้นกับชีวิตของผมอีกครั้ง และเป็นครั้งที่สำคัญมาก... สำคัญสำหรับการจดจำ บนเส้นทางชีวิตของผม
กลางปี พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา...มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับชีวิตของผม เรื่องที่นับว่าเป็นข่าวดี และเป็นเรื่องดีที่ท้าทายสำหรับชีวิตของผมมากอย่างหนึ่งก็คือ การได้รับการติดต่อให้ไปออกรายการทีวีของสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น และต่อมาก็ได้รับความนิยมอย่างมาก จนเกิดโครงการใหญ่ต่อเนื่องที่เรียกกันว่า โครงการหมอหยองซังในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับมาถึงวันนี้ กระผมก็ต้องเดินทางไปๆมาๆระหว่างกรุงเทพมหานครกับนครโตเกียว เพื่อไปทำงานของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสมากที่จะได้ทำบุญและสร้างมหากุศลครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เพราะจะได้ใช้พลังกุศล และพลังพิเศษที่ตัวเองมีช่วยเหลือมวลมนุษย์ที่กำลังมีความทุกข์ในประเทศญี่ปุ่นและอีกหลายประเทศในเอเซียต่อไป
และเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผม ต้องมีชีวิตผกผันมากพอสมควร นั้นก็คือ ด้วยความตรากตรำทำงานของชีวิตอย่างหนักของผม ร่วมสามสิบปีที่ผ่านมา ทำให้ผมได้ล้มป่วยขึ้น และการป่วยในครั้งนี้ ได้ทดสอบจิตใจ ทดสอบความทุกข์ ความสุข ในชีวิตของผมครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ผมต้องพยายามที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ และต่อสู้กับภาวะจิตใจของตนเอง เพื่อจะดำรงชีวิตให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งสำคัญของชีวิตตัวเอง
นอกจากผมจะมีการป่วยเจ็บขึ้นบ้างแล้ว...มารดาของผม ซึ่งร่างกายของท่านก็ป่วยกระเสาะกระแสะในช่วงปลายอายุ 80 ปีของท่านมาโดยตลอด ก็พลันเกิดมีอาการทรุดหนักมากขึ้นในช่วงเดียวกันนี้ นั้นคือปัญหาใหญ่ ที่เกิดขึ้นครั้งสำคัญในชีวิตของผม และเพื่อให้ผมได้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้รวดเร็ว ผมก็ต้องถือศีลเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญบารม ีแผ่เมตตาให้แก่เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ พร้อมกับมีเวลามากขึ้นที่จะได้ปรนนิบัติมารดาในระหว่างที่ท่านป่วยครั้งนี้
จิตใจของผมเริ่มเข้มแข็งขึ้น มีพลังจิตแกร่งขึ้น และได้มีโอกาสทบทวน วิถีชีวิตการทำงานของตนเองที่ผ่านมา อย่างละเอียดมากขึ้น ได้บังเกิดปัญญาและแสงสว่างในภาวะจิตขึ้น นอกจากนั้น ยังได้รับบัญชาจากพ่อปู่พระพิฆเนศวร ให้ดำเนินชีวิตในแนวทางใหม่

บัญชาของพ่อปู่พระพิฆเนศวร ให้ผมไปสร้างบ้านในดินแดนที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อจะให้เป็นบ้านที่พักพิงของพ่อแม่ในชีวิตบั่นปลายของท่านทั้งสอง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นบ้านหลังใหญ่ แต่จะต้องดูเหมาะสม และมีฮวงจุ้ยที่ดีสำหรับการเชิญเทพเทวดาไปประทับ และคุ้มครองให้กับชีวิตและครอบครัวของผม และหนึ่งในบัญชานั้นก็คือ บ้านตรีสุวัชช์หลังนี้ หมดเวลาที่ผมจะได้ครอบครองและอยู่อาศัยแล้ว สำหรับการสร้างบารมีต่อไปของผม จะต้องหาที่อยู่ใหม่ ที่พอเหมาะสำหรับตัวเองเพียงคนเดียว และไม่ต้องมีภาระมากมายในการดูแลรักษาเหมือนกับบ้านตรีสุวัชช์ ที่ผมเฝ้าดูแลรักษาอย่างดียิ่งตลอดระยะเวลาร่วมสิบแปดปีเต็มที่ผ่านมา นอกจากนั้น ยังมีบัญชาให้ผมย้ายพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ และทวยเทพทุกพระองค์ในห้องพระใหญ่ ณ บ้านตรีสุวัชช์ไปประดิษฐานและประทับ ณ.บ้านหลังใหม่ที่จังหวัดตรัง ที่ผมจะต้องไปรีบจัดการสร้างขึ้น และตกแต่งให้เหมาะสม
และสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ในช่วงกลางปีกลายที่ผ่านมา เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชีวิตผมอีกครั้ง ในวัยอายุสี่สิบสามปีของชีวิต
เพียงช่วงเวลาสี่เดือนเต็ม ผมจะต้องสร้างบ้านและตกแต่งบ้านใหม่ที่จังหวัดตรังให้แล้วเสร็จ เพื่อพร้อมจะโยกย้ายจากบ้านตรีสุวัชช์ และต้องหาที่อยู่ใหม่สำหรับการใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานครของผม ดูเหมือนมันช่างเป็นห้วงเวลาที่สั้นมากเหลือเกิน และนับว่าเป็นโจทย์ที่ยากในการทดสอบชีวิตของผมอย่างยิ่ง
ผมหมดหนทาง หมดหนทางที่จะคิดว่าสิ่งที่จะทำตามบัญชาของพ่อปู่พระพิฆเนศวรนั้น จะสามารถทำได้สำเร็จเหมือนครั้งที่ผ่านๆมาจริงๆ
แต่เมื่อยังไม่สิ้นลมหายใจ ผมก็ยังไม่สิ้นหวัง อย่างเด็ดขาด ในที่สุดด้วยการเฝ้าสวดมนต์ และภาวนาอย่างแน่วแน่ ผมก็ได้แนวทางในการดำเนินวิถีชีวิตใหม่ตามบัญชาของพ่อปู่พระพิฆเนศวร
ผมตัดสินใจ...ประกาศขายบ้านตรีสุวัชช์ บ้านแห่งดวงใจและจิตวิญญาณของผมทันที เพื่อจะได้นำเงินที่เหลือไปสร้างบ้านที่จังหวัดตรัง และหาที่อยู่ใหม่สำหรับผมในการทำงานในกรุงเทพมหานคร
ด้วยบุญกุศลอย่างแน่นอน ทำให้ผมสามารถทำตามบัญชาของพ่อปู่พระพิฆเนศวรเป็นผลสำเร็จ
สิ่งแรกที่เกิดขึ้น ผมได้หาที่อยู่ใหม่สำหรับชีวิตของผม
โดยคุณจีราภา อริยวงศ์โสภณ น้องสาวของผม ได้พยายามติดต่อและประสานหาสถานที่ต่างๆ แล้วนำมาให้ผมเพื่อพิจารณาว่า ที่ใดจะเหมาะสม ที่จะเป็นที่พักพิงใหม่ของผมในการทำงานเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ต่อไปในกรุงเทพมหานคร เพียงสองอาทิตย์ที่ผมเริ่มจะค้นหาที่พักพิงหลังใหม่ ผมก็ได้พบว่า ห้องเลขที่ 817 อาคาร Bของ คอนโดมีเนียม ไอ-เฮ้าท์ พระราม 9-เอกมัย บนถนนพระราม9 ถนนสายเดียวกับบ้านตรีสุวัชช์ บ้านหลังเก่าของผม เป็นสถานที่ที่เหมาะสม และพอเพียงสำหรับชีวิตคนเดียวอย่างผม
ในขณะเดียวกัน ผมก็ได้เดินทางลงไป ติดต่อซื้อตึกแถวสามห้องติดกัน ในกลางเมืองของจังหวัดตรัง เพราะเห็นว่าเมื่อเข้าไปยืนสัมผัส พร้อมอธิษฐานถามเทพเทวดาแล้ว ณ ที่ตรงนั้นได้รับการตอบรับมากที่สุดว่าจะเป็นที่ร่มเย็นและเหมาะสมสำหรับจะเป็นบ้านหลังใหม่ของพ่อแม่ของผม และบ้านหลังใหม่ของมหาเทพ และเทวดาทั้งปวงที่ผมนับถือมาตลอดชีวิต ผมต้องทำงาน และประสานงานทุกอย่างในการสร้างบ้าน และตกแต่งให้ลงตัว ภายในเวลาสี่เดือนเต็ม ซึ่งเป็นเวลาที่สั้นมากๆ แต่ก็เป็นการทดสอบบารมีอีกครั้งหนึ่งสำหรับชีวิตของผมเช่นกัน
และแล้ววันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 ผมก็ได้ย้ายตัวเอง มาอยู่ที่คอนโดมีเนียม ไอ-เฮ้าท์ ที่พักพิงหลังใหม่ของชีวิตผม ที่นี้เรียบง่ายและกระทัดรัด สิ่งของเครื่องใช้ก็นำเอามาพอที่จะสามารถจัดตั้งได้เท่านั้น สำหรับสิ่งของที่เหลือทั้งหมดของบ้านตรีสุวัชช์ ก็ได้เตรียมเพื่อที่จะโยกย้ายไปไว้ที่บ้านหลังใหม่ในจังหวัดตรัง บ้านเกิดเมืองนอนผมต่อไป
วันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2549 ผมก็ได้ฤกษ์มงคลที่ทำพิธีขึ้นบ้านหลังใหม่ พร้อมเชิญมหาเทพศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ ขึ้นสู่บ้านหลังใหม่ บ้านที่ได้รับนามว่า บ้านแสงตะวัน ณ.ที่ที่จะบังเกิดแต่ความสว่าง ความอบอุ่นและความสุข ของผู้ที่อาศัยและสำหรับผู้เดินทางมาเยือนทุกคน สำหรับห้องพระ ณ บ้านแสงตะวัน ได้จัดทำขึ้นโดยเฉพาะ มีการตกแต่งเป็นมณฑปสามมุข ใส่ลวดลายไทยแห่งความหมายมงคล และลงรักสีทองอย่างสวยงามวิจิตรพอสมควร
บ้านแสงตะวัน จะเป็นบ้านที่ผมจะใช้สำหรับในการไปชารต์พลังสวดมนต์ถือศีล ภาวนา และปฏิบัติธรรม สำหรับการติดต่อกับมหาเทพในทุกเดือน บ้านแสงตะวัน เป็นบ้านที่ผมสร้างขึ้นตามบัญชาของพ่อปู่พระพิฆเนศวร เพื่อจะให้เป็นสถานที่พักพิงชีวิตในบั่นปลายของพ่อแม่ ตอบแทนความกตัญญูกตเวฑิตาแด่ท่านทั้งสอง
โชคดีเหลือเกิน...ที่เพื่อนบ้านห้องแถวในซอยเดียวกัน แทบทุกหลังของบ้านแสงตะวัน เป็นกัลยาณมิตรที่มีจิตใจบุญ และงดงามเหมือนกัน ในวันขึ้นบ้านใหม่ทำบุญเชิญมหาเทพขึ้นบ้านแสงตะวัน เพื่อนบ้านทุกหลังในซอยเดียวกัน ก็เลยมาร่วมกันทำบุญบ้านพร้อมๆกันทั้งซอย นับว่าเป็นการขึ้นบ้านใหม่ของบ้านทั้งซอยเลยทีเดียว
นอกจากนั้น ผมยังได้เพื่อนบ้านที่อาสาจะช่วยดูแลบ้านแสงตะวัน ในยามที่ผมทำงานอยู่กรุงเทพมหานครหรือคุณพ่อคุณแม่จะต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ นั้นก็คือ คุณฉุน คู่ชีวิตของคุณปรีดา ครอบครัวนี้น่ารักมาก ช่วยดูแลบ้านและยังช่วยทำความสะอาดห้องพระ และทำหน้าที่นำคณะศรัทธาสวดมนต์ภาวนาในห้องพระของบ้านแสงตะวันทุกวันพระอีกด้วย นอกจากนั้นครอบครัวของคุณแอ๊ส และคุณน้าไพ ซึ่งบ้านอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านแสงตะวัน ก็ช่วยกันมารดน้ำพรวนดิน ดูแลต้นไม้มงคลที่ปลูกขึ้นเพื่อประดับประดาบริเวณบ้านแสงตะวันอีกด้วย ก็นับได้ว่าเป็นวาสนาดีของผม และเป็นบุญบารมีของพ่อปู่พระพิฆเนศวร ที่ดลบันดาลให้บ้านแสงตะวัน มีเพื่อนบ้านที่น่ารักและมีจิตใจที่งดงามอย่างยิ่งทุกๆคน
กาลเวลาเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง...เป็นสัจธรรมที่ปรากฏเห็นได้ชัดเจนในชีวิตของผม บนเส้นทางชีวิตของผม กาลเวลาก็ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า มิได้ขาด แต่การเปลี่ยนแปลงสำหรับคนที่ปฏิบัติดี และมีจิตกุศลย่อมจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับผม มั่นใจและเชื่อมั่นอย่างศรัทธาว่าเป็นเช่นนั้น แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามได้ทุกอย่าง..แต่ผมก็มั่นใจว่า กาลเวลาไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงจิตใจ และความมั่นคง ความศรัทธาที่ผมมีต่อองค์พ่อปู่พระพิฆเนศวร ผู้ทรงพระคุณอย่างประเสริฐสุดในชีวิตของผมได้อย่างเด็ดขาด จนกว่าผมจะหมดสิ้นลมหายใจ
บัดนี้ด้วยการทำพิธีมงคล บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเทวดาที่รักษาบ้านตรีสุวัชช์ บ้านหลังแรกในชีวิตของผม ถูกต้องตามพิธีกรรมทุกอย่าง ตามที่พ่อปู่พระพิฆเนศวร ได้บัญชาให้ผมได้จัดทำพิธีขึ้น เมื่อกลางเดือนธันวาคมปีกลาย พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา ในเวลาเพียงเดือนเดียว ผมก็สามารถจะขายบ้านตรีสุวัชช์ได้อย่างเรียบร้อย และโอนให้กับเจ้าของใหม่ เมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2549 หลังจากผมทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ บ้านแสงตะวันที่จังหวัดตรัง สำเร็จลุล่วงเรียบร้อยเพียงสองวันเท่านั้น การเจรจาตกลง ซื้อขายบ้านตรีสุวัชช์ ก็สำเร็จราบรื่นอย่างมหัศจรรย์ยิ่ง
18 ปีเต็มสำหรับบ้านแห่งมหาเทพที่ประทานให้กับชีวิตของผม บ้านตรีสุวัชช์ เป็น18 ปีแห่งความทรงจำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น และคงจะเป็นความทรงจำของผู้ที่เคยได้รับความร่มเย็น และช่วยเหลือจากผมและมหาเทพจากบ้านหลังนี้ด้วย ที่ยากต่อการลืมเลือน และเป็นปีแรกของการเริ่มต้นกับชีวิตใหม่ ของบ้านแสงตะวัน และคอนโดมีเนียมที่พักพิงใหม่ของผมในกรุงเทพมหานครที่ผมจะได้เริ่มทำงาน เพื่อช่วยเหลือให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนต่อไป
ดวงตะวันไม่ว่าจะหมุนไป ณ.มุมใดของโลก ก็ยังส่องแสงสว่าง ให้ความอบอุ่น และความสุขกับมนุษย์ทุกคน ได้เฉกเดียวกัน เหมือนดั่งเช่นเดิม